การหารายได้เสริมในช่วงอายุที่ “ยางพารา” ก่อนกรีดตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึง 6 ปี ไม่เพียงการปลูกพืชระยะสั้นเท่านั้น แต่การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจอย่าง “แพะ” ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจของเกษตรกรชาวสวนยางในปัจจุบัน เห็นได้จากตัวอย่างความสำเร็จ “อัคระฟาร์ม” แห่งบ้านพรุจำปา ต.เทพกระษัตรี
อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดย “อัคระ ธิติถาวร” เจ้าของและประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง (ฟาร์มเลี้ยงแพะนม)
อัคระ ธิติถาวร ถือเป็นเกษตรกรรายแรกใน จ.ภูเก็ต ที่ริเริ่มเลี้ยงแพะนม และพัฒนาสายพันธุ์จนสามารถสร้างรายได้และพัฒนาเป็นอาชีพได้อย่างมั่นคง โดยยึดหลักการดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได้คิดปรับปรุงสายพันธุ์แพะนม ที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากแพะพื้นเมืองเพื่อให้ได้แพะพันธุ์ที่โตเร็วเลี้ยงง่าย ให้น้ำนมมาก และทนทานต่อสภาพแวดล้อม จนได้แพะนมพันธุ์ลูกผสม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรผู้สนใจเป็นอย่างมาก
เขาย้อนอดีตให้ฟังว่า หลังเจอวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ก็ได้ลาออกจากอาชีพลูกจ้างเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เดินทางกลับมาบ้านเกิดที่ จ.ภูเก็ต ด้วยจิตสํานึกและความมุ่งมั่นการผลิตอาหารให้ผู้บริโภคโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ใดๆ และใช้หลักความสมดุลของระบบนิเวศ และการดํารงชีวิตแนวเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้เหตุผลที่ตนเองทําได้ มีพื้นที่ ทุน แปลงหญ้า และการพึ่งตนเอง
“เริ่มต้นจากการปลูกพืชหลากหลายชนิด เลี้ยงแพะ เลี้ยงปลา ในพื้นที่ 2 ไร่เศษ และพื้นที่สวนยางของญาติพี่น้อง ของเราจะมีการระบบการจัดการฟาร์มผสมผสานเกื้อกูลกันของพืช สัตว์ ประมง ใช้มูลแพะเป็นปุ๋ยให้แก่พืช และสร้างแหล่งอาหารแพลงตอน ตะไคร่น้ำให้แก่ปลา ใช้น้ำจากบ่อปลารดต้นไม้”
เจ้าของอัคระฟาร์ม เปิดเผยต่อว่า หลังจากการเลี้ยงแพะเนื้อจำนวน 11 ตัว แม่พันธุ์ 10 ตัว และพ่อพันธุ์ 1 ตัว เมื่อปี 2540 จนกระทั่งถึงปี 2546 ก็เปลี่ยนมาเป็นแพะนม ด้วยการค้นหาพ่อพันธุ์แพะนม เนื่องจากมีรายได้ดีกว่า โดยเฟ้นหาพ่อพันธุ์ดี จากนั้นก็มาทดลองปรับปรุงสายพันธุ์ด้วยตนเอง โดยคัดแม่แพะดูจากสุขภาพ การให้ผลผลิต และการผสมพันธุ์ติดง่าย เป้าหมายแม่แพะให้ผลผลิตน้ำนม เฉลี่ย 2-3 ลิตรต่อวัน มีระยะการให้นมสูงสุดนาน และระยะเวลารีดนมยาวกว่า 200 วัน
“เทคนิคง่ายๆ ก็คือ ให้แม่พันธุ์มีความสมบูรณ์สูงสุดก่อนผสมพันธุ์และให้ไวตามิน AD3E ปรับระบบสืบพันธุ์ เมื่อแม่แพะเป็นสัดรอให้ไข่ตกเต็มที่ ผสมพันธุ์ในวันที่สองของการเป็นสัด พบว่าอัตราการเกิดลูกแฝด 3 กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ให้ลูกแพะอยู่กับแม่ดูดนมแม่จนอายุได้ 2 เดือน ในระหว่างนั้นฝึกระเบียบวินัยแม่และลูกแพะ สร้างความคุ้นเคยกับเจ้าของ การอยู่รวมฝูงก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ หลังจากนั้นจึงแยกแม่แพะมารีดนมอีกประมาณ 6 เดือน”
อัคระย้ำอีกว่า สำหรับการเลี้ยงนั้น ใช้วิธีเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ ใช้พื้นที่สวนยางพาราของชาวบ้านในเครือข่ายประมาณ 200 ไร่ เป็นแหล่งอาหาร ที่สำคัญ เจ้าของสวนยางพาราก็ได้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพที่ผลิตจากมูลแพะฟรี และยังช่วยกำจัดวัชพืชในสวนยางอีกด้วย ทั้งนี้เป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้แก่เจ้าของสวนยางนั่นเอง
“เราใช้สวนยางเขาเลี้ยงแพะและช่วยดูแลจัดการสวนยางเขาให้ด้วย วินๆ ทั้งสองฝ่าย ส่วนของผมเองมีแค่ 2 ไร่เศษ ก็ทำเป็นสวนเกษตรผสมผสาน มีโรงเรือนแพะ 2 โรง เช้าหลังรีดนมเสร็จก็ปล่อยแพะไปหากินในสวนยาง เย็นก็กลับเข้ามานอน ขี้แพะก็นำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ทุกอย่างมาใช้ประโยชน์ได้หมด ส่วนรายได้ก็มาจากขายลูกแพะ พ่อแม่พันธุ์และน้ำนมแพะบรรจุขวดเป็นหลัก เฉลี่ย 70-80 ตัวต่อปี ส่วนน้ำนมแพะเฉลี่ย 150 ขวดต่อวัน สนในราคาจำหน่ายขวดละ 20 บาท”
ปัจจุบันอัคระฟาร์มแพะจำนวน 50 ตัว แบ่งเป็นแม่พันธุ์ 27 ตัว พ่อพันธุ์ 1 ตัว แพะรุ่น 6 ตัวและแพะเล็ก 16 ตัว มีรายได้จากการจำหน่ายลูกแพะและผลิตภัณฑ์นมแพะประมาณ 4.5-5 หมื่นบาทต่อเดือน นับเป็นอีกทางเลือกที่จะเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางได้เป็นอย่างดี